วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไก่แจ้


ประวัติความเป็นมาของไก่แจ้
น.ส.สุชาดา สรรพานิช
ไก่แจ้เป็นไก่พื้นเมือง สืบทอดสายพันธ์มาจากไก่ป่าเช่นเดียวกับไก่ประเภทอื่นๆ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเมืองไทยก็พบไก่แจ้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ถือว่าเป็นไก่พื้นเมืองของประเทศไทยสายพันธุ์หนึ่ง ในแถบยุโรปและอเมริกาจะเรียกไก่แจ้ว่า "แจแปนนีสแบนตั้ม" (Japannese Bantams)เพื่อเป็นการให้เกียรติกับชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์ไก่แจ้ขึ้นมาทั้งๆที่ไก่แจ้แท้จริงแล้วไม่ใช่ไก่พื้นเมืองของญี่ปุ่น มีหลักฐานกล่าวว่าแรกเริ่มชาวญี่ปุ่นได้นำไก่แจ้มาจากจีนตอนใต้เมื่อพ.ศ.2149 - 2179 จากนั้นได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้รูปทรงและสีสันที่สวยงาม ในเวลาต่อมาญี่ปุ่นได้นำไก่แจ้ จากแถบคาบสมุทรอินโดจีนไปผสมเพิ่มเติมอีก ซึ่งใช้เวลาในการคัดพันธุ์นับร้อยปี จนกระทั่งประมาณห้าสิบปีเศษมานี้เองไก่แจ้ญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในแถบยุโรปที่มีการนิยมเลี้ยงไก่แจ้ก็เพราะว่า เมื่อสมัยโบราณชนชาติจีนมีการติดต่อซื้อขายกับชาวอังกฤษ ซึ่งชาวจีนได้นำไก่แจ้ติดเรือสำเภาไปด้วย เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงแก้เหงาในเรือ เมื่อพ่อค้าชาวอังกฤษเห็นเข้า ก็เกิดความสนใจและได้นำไปเลี้ยงยังประเทศอังกฤษ ในตอนแรกก็มีการเลี้ยงกันเฉพาะพ่อค้าและชาวบ้าน ต่อมาพระนางวิคตอเรียเห็นเข้าและพอพระทัยจึงมีการนำเข้าไปเลี้ยงในพระราชวังเป็นครั้งแรก สำหรับในเมืองไทยมีการเลี้ยงไก่แจ้มาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว แต่ไม่ได้สนใจในการปรับปรุง หรือคัดสายพันธุ์เลย จนกระทั่งเมื่อประมาณ20-30ปีที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจอย่างจริงจัง ในการพัฒนาเพื่อให้ไก่แจ้ไทยมีลักษณะดีและสวยงามตามแบบมาตรฐานสากล จึงได้มีการสั่งซื้อไก่แจ้ สายพันธุ์ที่ดีจากญี่ปุ่นเข้ามาผสมกับสายพันธุ์ดั้งเดิมของไทย จากการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันไก่แจ้ไทยกลายเป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศมากขึ้น.
มาตรฐานไก่แจ้เพศผู้
มาตรฐานไก่แจ้เพศเมีย
สายพันธุ์ไก่แจ้ไทย
การจำแนกตามการประกวด

นกแก้ว


นกแก้ว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psittacus torquata) แยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 500 ชนิด มีพื้นเพที่อยู่อาศัยตั้งเดิมอยู่ในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หมู่เกาะมลายู แอฟริกา ทางใต้ของทิศ เหนือของอเมริกา อินเดีย นอกจากนี้แล้วยังพบทางแถบตะวันตกของอินเดียโดยทั่วไป นกในตระกูลนกแก้วนั้น มักมีความแตกต่างไปจากนกตระกูลอื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ จงอย ปากตอนบนของนกแก้วสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รวมกับหน้าผาก (ขากรรไกร) และมี ลักษณะเด่นได้แก่ ปากคมแข็ง จงอยปากงุ้มเข้าโคนใหญ่ปลายแหลมน่ากลัว เท้ามีนิ้วข้าง หลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้วทุกนิ้วมีเล็บที่แหลมคม สามารถใช้เท้าจับกิ่งไม้ได้เหนียวแน่น ปีนป่ายคันไม้ได้เก่งเป็นพิเศษ และในบางโอกาสยังสามารถจับฉีกอาหารได้ด้วย ปาก ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ขนเป็นสีเขียว สามารถ นำมาฝึกสอนให้พูดภาษาของมนุษย์ได้แทบทุกชนิด
สำหรับรังและที่อยู่อาศัยของนกแก้วโดยทั่วไปมักอยู่ตามในโพรงไม้ หรือโพรงหิน ไม่นิยมใช้วัสดุต่าง ๆ ทำรัง นกจากนกแก้ว เควเคอร์(Quaker Parrakeet) และ นกแก้ว อัฟเบริด์ (Lovebirds) นกแก้วทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมทำรังโดยใช้แขนงหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ เศษ หญ้า เปลือกไม้โดยนำมาสานประกอบขึ้นเป็นรังเป็น
นกปากงุ้มเป็นขอในวงศ์ Psittacidae ตัวสีเขียว ปากแดง อยู่รวมกันเป็นฝูง กินเมล็ดพืชและผลไม้ ในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น นกแก้วโม่ง (Psittacula eupatria) แก้วหัวแพร (P. roseata) นกมาคอว์ อาหารที่ชอบกินคือผลไม้ โดยนกแก้วมีหลายชนิดและมีสีสดใส ส่วนมากเราจะเห็นนกแก้วมีสีแดง สีน้ำเงิน สีฟ้า
นกที่คนไทยชอบเลี้ยงมาแต่โบรานมีนกแก้วรวมอยู่ด้วย เพราะนกแก้วสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ กล่าวกันว่ามันมีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว ถ้าพูดอะไรให้ฟังบ่อยๆก็สามารถพูดได้ กล่าวกันว่าเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับไปบุกอินเดียได้ทอดพระเนตรเห็นนกแก้วเข้า ก็ชอบพระทัยได้ทรงนำกลับยุโรปด้วย และในไม่ช้าก็เป็นที่นิยมมาก ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นนกแก้วจึงมีราคาแพงมาก จึงได้มีการค้าขายนกแก้วทั้งในยุโรปและเอเชีย การที่คนเราชอบเลี้ยงนกแก้วนั้นเห็นจะเป็นเพราะเหตุ 4 ประการ
นกแก้วมีสีสวย รูปร่างงดงาม
สามารถพูดเลียนภาษามนุษย์ได้
เลี้ยงง่าย
อายุยืน อย่างในเรื่อง Popular Pet Birds ของ R.P.N. Sinha กล่าวว่า นกแก้วมีอายุยืนมาก อาจอยู่ได้ถึง 70 ปี
เนื้อหา[
ซ่อน]
1 ชนิดและพันธุ์นกแก้ว
2 ที่อยู่อาศัยและวิธีเลี้ยง
2.1 อาหาร
3 อ้างอิง
4 แหล่งข้อมูลอื่น
ชนิดและพันธุ์นกแก้ว
ครอบครัวแพร์รัทส์ (Parrot)
พันธุ์คอคคาทู (Cockatoos)
พันธุ์มาคอว์ (Macaws)
พันธุ์เลิฟเบิรด์ (Lovebird)
พันธุ์พาร์ราคีท (Parrakeets)
ที่อยู่อาศัยและวิธีเลี้ยง
เลี้ยงโดยให้เกาะอยู่บนคอน
ขาตั้งและคอนสำหรับนกแก้วนั้น จะทำให้นกรู้สึกอิสระและออกกำลังกายได้สะดวก คอนควร ทำด้วยวัสดุเนื้อแข็ง ถ้าคอนเป็นไม้ปลายทั้งสองควรหุ้มด้วยโลหะ มิฉะนั้นนกจะฉีกแทะเล่น ในกรณีที่นกยังไม่เชื่องพอ ควรใช้กำไลสวมข้อเท้าซึ่งติดกับโซ่สวมไว้ก่อน และควรขลิบปีก เสียข้างหนึ่งเพื่อป้องกันนกบินหนี บริเวณขนที่จะต้องตัดออกคือขนปีกชั้นที่ 1 ทั้ง 5 โดย ขลิบออกประมาณ 1 นิ้ว
เลี้ยงด้วยกรงภายใน
ในกรณีที่นกแก้วเป็นนกรูปร่างเล็ก ขนาดของกรงโดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีขนาดกว้างสูง ต่ำ กว่า 2x3 ฟุต ขนาดของกรงนั้นจะเหมาะสมกับนกหรือไม่สังเกตได้จากเมื่อนกเกาะอยู่กลาง กรง หากนกมีโอกาสกางปีกออกได้สะดวก โดยไม่ติดกับกรงหรือคอน ก็จัดได้ว่ามีความพอดี
เลี้ยงด้วยกรงภายนอก
การเลี้ยงนกแก้วด้วยกรงภายนอกนั้นเป็นการดียิ่งสำหรับสุขภาพนก เพราะนกได้อยู่กับสิ่งแวด ล้อมคล้ายกับถิ่นเดิม อากาศโปร่งบริสุทธิ์ นกออกกำลังกายได้ตลอดเวลาแต่ต้องคำนึงถึงแสง แดดและฝน อย่าให้โดนมากเกินไป [
แก้] อาหาร
อาหารทั่วไปสำหรับเลี้ยงนกแยกออกเป็นชนิดต่างๆได้ดังนี้
เมล็ดข้าวชนิดต่างๆ ซึ่งมีส่วนผสมของเมล็ดทานตะวัน, ข้าวโอ๊ท, ข้าวสาลี, เมล็ดกัญชา, เมล็ดข้าวโพด, ถั่วลิสง, และเมล็ดข้าวอื่นๆที่กระเทาะเปลือกแล้ว
ผลไม้ต่างๆ เช่น แอ๊ปเปิ้ล, กล้วย, องุ่น, ส้ม และผมไม้มุกชนิด
อาหารจำพวกผักสด เช่น หัวมันเทศ, หัวผักกาด, หัวแคร์รอท, ผักโขม, หรือผักจำพวกกระหล่ำปลี, และผักในสวนครัวชนิดอื่นๆ
กระดองปลาหมึก, ทราย

ปลาทอง


ปลาทองเป็นปลาน้ำจืด ที่ชื่อมีความหมายที่ดี และ ล้ำค่าแก่เจ้าของ และปลาทองยังเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลาทอง ไว้ดูเล่น หรือ เลี้ยงปลาทองไว้เป็นเคล็ดฮวงจุ้ย ปลาทองมีสายพันธุ์ที่หลากหลายและเป็นที่ต้องการของตลาด ใน และ ต่างประเทศอย่างมาก และ การเพาะเลี้ยงปลาทองก็เป็นอีกอาชีพที่ สร้างรายได้ ได้เป็นอย่างดีการเลี้ยงปลาทอง มีมานานกว่า 2000 ปี โดยเฉพาะในประเทศจีน และญี่ปุ่น ชึ่งตามประวัติแล้ว ถือได้ว่า ปลาทอง เป็นปลาชนิดแรกที่มนุษย์เลี้ยงเพื่อความสวยงามก็ว่าได้ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาทอง อย่างมากมาย และหลากหลาย ซึ่งได้แก่ ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ (Lion head), พันธุ์ออแรนดา (Oranda), ปลาทอง เกล็ดแก้ว (Pearl scale),ปลาทองตาโปน (Telescope eye), ปลาทองพันธุ์ริวกิ้น (Ryukin) ปลาทองตาลูกโป่ง (Bubble eye) เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้แล้ว ยังมีปลาทองอีกหลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งสามารถเลือกเลี้ยงได้ตามความชอบ และความพอใจหลายคนเรียก ปลาทอง ว่า ปลาเงินปลาทอง โดยมีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Goldfish ซึ่งปลาทอง เป็นปลาที่อยู่ในตระกลู Cyprinidae โดยชื่อวิทยาศาสตร์ของปลาทอง คือ Carassius auratus (Linn.)ปลาทอง มีต้นกำเนิดอยู่ ทางตอนใต้ ของประเทศจีน โดยในธรรมชาติ ปลาทองชอบอาศัยตามหนองน้ำ และ ลำคลองที่ใสสะอาดที่ติดกับแม่น้ำ ในสภาพแวดล้อมที่ดี ปลาทอง สามารถมีอายุขัย ยืนยาวอยู่ได้ถึง 20 ถึง 30 ปี เลยทีเดียว สำหรับปลาทองที่เลี้ยงไว้ดูเล่นจะมีช่วงชีวิต เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7-8 ปี เท่านั้น พบจำนวนน้อยมากที่มีอายุถึง 20 ปีประเทศ ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ก็เป็นประเทศที่นิยมเลี้ยงปลาทอง เป็นอันดับต้นๆของโลก และยังเป็นศูนย์กลางในการส่งออก ปลาทอง ที่ใหญ่มากอีกด้วยปลาทอง ในประเทศไทยนั้น การเพาะ ปลาทอง ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็น ราชบุรี นนทบุรี นครปฐม และ กทม. การเพาะเลี้ยงปลาทอง ในประเทศไทย นั้นส่วนใหญ่จะเพาะพันธุ์ ปลาทอง เพื่อการจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น

1. อาหารตามธรรมชาติ ปลาทอง เป็นปลาที่กินอาหารได้ทั้งสัตว์และพืช แต่ ปลาทอง จะชอบทาน สิ่งมีชีวิต ประเภท ลูกน้ำและ ไรแดง มากเป็นพิเศษ ซึ่งให้โปรตีนสูง เหมาะกับการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ปลาทอง ในปัจจุบันหนอนแมลงวัน ก็เป็นอาหารอีกชนิดที่นิยมนำมาเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงปลาทอง ข้อดีของอาหารที่มีชีวิต- ปลาทอง จะมีเอนไซม์ช่วยย่อย ทำให้ปลาทองสามารถย่อยและทานได้ตลอดเวลา- อาหารที่มีชีวิตมี กรดอะมิโนที่สำคัญ และจำเป็น ช่วยให้ปลาทองเจริญเติบโตได้ดี- มีสารสีต่าง ๆ แบบธรรมชาติ ช่วยในการป้องกันและสร้างภูมิต้านทานโรคซึ่งปลาทอง ผลิตไม่ได้เองตามธรรมชาติ- มีราคาถูกกว่า อาหารปลาทอง เม็ดสำเร็จรูป อาหารปลาทองสำเร็จรูป ได้แก่ อาหารเม็ด ที่มีขนาดเล็กเป็นอาหารที่เหมาะกับ ปลาทอง การเลือกอาหารเม็ด ควรเลือกอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงซึ่งทำให้ปลาทองเติบโตได้ดีและมีสีสันสวยงามโดยทั่วไปโดยส่วนประกอบของอาหารปลาทองสำเร็จรูปควรมี โปรตีน ประมาณ 40 - 50 เปอร์เซ็นต์ ข้อดีของอาหารปลาทองสำเร็จรูป- สะดวก สบาย และ ไม่ยุ่งยากในการจัดเตรียมอาหารให้ปลาทอง- อาหารสำเร็จรูป บางชนิด มีการเสริมสารเร่งสี ทำให้ปลาทองมีสีสันสวยสด งดงาม- มีปริมาณ สารอาหารที่แน่นอน สามารถควบคุมการกินของปลาทอง ได้ง่ายการให้อาหารปลาทอง นั้นควรคำนึงถึง ปริมาณอาหารที่ให้ โดยปริมาณ อาหารที่ให้ ควรให้วันละ 3 -5 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักปลาทอง การให้อาหาร โดยเฉพาะอาหารปลาทองชนิดเม็ดสำเร็จรูป ควรให้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไปนัก โดยควรให้ปลาทอง ทานให้หมดภายใน 15 นาที ไม่เช่นนั้น น้ำในตู้ปลาทองอาจจะ เกิดการเน่าเสียได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคแก่ปลาทอง โดยอาจจะแบ่งให้อาหารปลาทองวันละหลายรอบก็ได้

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

การเลี้ยงแฮมสเตอร์


ลักษณะทั่วไป
ลักษณะทั่วๆไปของแฮมสเตอร์ ขนาดตัวจะมีขนาดเล็ก อ้วนป้อม และมีหางสั้นกว่าลำตัว และมีขนาดเล็ก อย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีขนของแฮมสเตอร์จะมีสีหลายสี อาทิเช่น ดำ, เทา, ขาว, น้ำตาล, เหลืองเข้ม, เหลือง และแดง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์ ส่วนสีขนด้านใต้ท้องจะเป็นสีขาว มีตาดวงกลมโต และจมูกที่ไวต่อการได้กลิ่น
แฮมสเตอร์จัดอยู่ในประเภท
สัตว์มีแกนสันหลัง ไฟลัมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
หนูแฮมสเตอร์สามารถกินอะไรได้บ้าง
คำถามสำหรับผู้ที่เริ่มเลี้ยง หรือ ผู้ที่คิดจะเลี้ยงเจ้าหนูแฮมสเตอร์ ให้หัวข้อนี้เรามาทำความเข้าใจกับ อาหารของหนูแฮมสเตอร์ และ ของกินต่างๆ ที่หนูสามารถกินได้ และ สิ่งใดที่ไม่ควรให้กินกันครับ
หนูแฮมสเตอร์นั้นสามารถกินอาหาร หรือของกินได้หลากหลายชนิดครับ อาจจะพูดได้ว่าทุกชนิดเลยก็ว่าได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกพักชนิดต่างๆ ผลไม้ชนิดต่างๆและ ธัญพืช ที่หลากหลายครับ ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับหนูบ้านทั่วๆไปที่สามารถกิน แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่สำหรับหนูแฮมสเตอร์แล้ว ภูมิต้านทานไม่เท่ากับหนูบ้านทั่วๆไปครับ ดังนั้นในการเลี้ยงดูหนูแฮมสเตอร์ อาหารนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากอีกอย่างหนึ่งในการ เลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ที่ผู้เลี้ยงควรจำให้ในสิ่งที่ถูก เขากินไม่ใช่ว่าควรให้กิน ของกินบางอย่างที่หนูแฮมสเตอร์นั้นทาน หรือ ชอบกิน ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ควรให้กินนะครับ เราต้องดูถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในการให้อาหารแต่ละชนิดด้วยครับ สิ่งที่ผู้เลี้ยงให้เป็นประจำและก็เกิดปัญหาบ่อยๆสำหรับหนูแฮมสเตอร์มีมากครับ ตัวอย่างเช่น
ไฟล์:Hamsteronline01.jpg
1. ขนมห่อ & ขนมทั่วๆไป สำหรับผู้เลี้ยงบางท่านแล้วกินขนมและก็ นำขนมนั้นๆให้หนูแฮมสเตอร์กิน ซึ่งผลที่ตามมานั้นอาจจะทำให้หนูแฮมสเตอร์นั้นท้องเสีย ได้ครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาหารจำพวกนี้มีสารปรุงแต่งรสชาติ สี สารกันบูด และสารอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบ ต่อหนูแฮมสเตอร์ ไม่มากก็น้อย ซึ่ง สารบางตัวจะเข้าไปสะสมอยู่ในตัวหนูแฮมสเตอร์ แต่สำหรับบางตัวที่ร่างกายทนไม่ใหวก็อาจจะ เป็นโรคท้องเสีย บางตัวอาการหนักจนอาจจะเสียชีวิตได้ครับ
2. ผัก & ผลไม้ ค้างเก็บ สำหรับผลไม้ หรือผักบางอย่าง ผู้ให้นั้นสามารถให้ได้ครับแต่ สำหรับผักบางชนิดที่หนูแฮมสเตอร์กินแล้วไม่หมดผู้เลี้ยงควรที่จะ เก็บออกทิ้งครับ และไม่ควรให้อาหารจำพวกผัก หรือผลไม้ บ่อยๆครับ เพราะว่าอาจจะทำให้หนูนั้นท้องเสียได้ครับ ซึ่งถ้าให้แนะนำแล้ว ผักที่ให้กินได้บ่อยๆ สำหรับผมก็จะเป็น บวบเหลี่ยม แครอท ครับ เนื่องจาก 2 ชนิดนี้ถ้าหนูแฮมสเตอร์นั้นกินไม่หมด ก็จะแห้งไปเองครับ และก่อนที่จะให้อาหารจำพวกนี้ควรที่จะล้างให้สะอาดก่อนครับ
การแบ่งประเภทสายพันธุ์

แฮมสเตอร์สายพันธุ์ ขาวตาแดง

หนูแฮมสเตอร์ กับ แตงกวา

โรโบ
Subfamily Cricetinae
Genus
Allocricetulus
Species
A. curtatus - Mongolian Hamster
Species
A. eversmanni - Kazakh Hamster, also called Eversmann's Hamster
Genus
Cansumys
Species
C. canus - Gansu Hamster
Genus
Cricetulus
Species
C. alticola - Ladak Hamster
Species
C. barabensis, including "C. pseudogriseus" and "C. obscurus" - Chinese Striped Hamster, also called Chinese Hamster; Striped Dwarf Hamster
Species
C. griseus - Chinese Hamster
Species
C. kamensis - Tibetan Hamster
Species
C. longicaudatus - Long-tailed Hamster
Species
C. migratorius - Armenian Hamster, also called Migratory Grey Hamster; Grey Hamster; Grey Dwarf Hamster; Migratory Hamster
Species
C. sokolovi - Sokolov's Hamster
Genus
Cricetus
Species
C. cricetus - European Hamster, also called Common Hamster or Black-Bellied Field Hamster
Genus
Mesocricetus - Golden Hamsters
Species
M. auratus - Syrian Hamster, also called the Golden hamster or Teddy Bear hamster)
Species
M. brandti - Turkish hamster, also called Brandt's Hamster; Azerbaijani Hamster
Species
M. newtoni - Romanian Hamster
Species
M. raddei - Ciscaucasian Hamster
Genus
Phodopus - Dwarf Hamsters
Species
P. campbelli - Campbell's Russian Dwarf Hamster
Species
P. roborovskii - Roborovski Hamster, sometimes known as the Mongolian Hamster, causing confusion with Allocricetulus curtatus
Species
P. sungorus - Winter White Russian Dwarf Hamster
Genus
Tscherskia
Species
T. triton - Greater Long-tailed Hamster, also called Korean Hamster
เลือกซื้อ-หนูแฮมสเตอร์
การเลือกซื้อนะครับ ก่อนจะซื้อยากให้เพื่อนๆพร้อมที่จะดูแลเจ้าตัวเล็กนี้ก่อน เพื่อที่เวลาซื้อมาแล้วจะได้ไม่เป็นภาระ ครับ เพราะสิ่งที่คุณจะซื้อนั่นมัน คือชีวิต หนึ่งเลยนะครับ

รูปลูกๆแฮมสเตอร์ สายพันธุ์แพนด้า
เราจะดูหนูแฮมไงว่าแข็งแรงเวลาเลือกซื้อ เราก็จะดูที่แววตาของหนูครับว่าสดใสหรือป่าว สภาพหนูครบถ้วน ไม่มีรอยถูกกัด หรือเลือดออกและก็ต้อง ดูตรง ก้น ด้วยครับว่า ท้องเสีย หรือเป็นโรคหรือป่าวครับ ขนร่วงหรือเปล่า จะลองจับหนูดูนะครับ ว่าจะมี
ขนติดมากับมือเราใหม ถ้ามีก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ขนอาจจะร่วงครับ และอีกอย่าง ก็ต้องดูว่าหนูไม่ผอมครับ ดูอีกอย่างนะครับ ก็คือ ขนต้องไม่เหม็นนะครับอายุประมาณ 3 อาทิตย์ หรือ1เดือน ครับ
หนูที่เราซื้อมาอาจจะเป็นพี่นองกันได้ะครับ ถ้าสีและลวดลายคล้ายๆกันนะครับแพราะผมก็เป็นคนเลี้ยงหนูขายอยู่ เวลาเอาไปขายเขาก็จะจับมารวมกันใช่ไหมครับ แล้วคราวนี้ก็อยูที่คนซื้อแล้วละครับ ว่าจะเลือกตัวใหนถ้าคุณเห็นอีกตัวสวย
และอีกตัวก็สวยเหมือนกัน นั่นละคับสองตัวนั้นอาจจะเป็นคลอกเดียวกันก็ได้ครับ คราวนี้ละ พี่กับน้องก็ผสมกัน ส่วนลูกออกมาก็แล้วแต่จะคิดครับการหลีกเลี้ยงนั้นทำได้ยากครับ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าตัวไหน เป็นพี่น้องกันและเจ้าของร้าน ก็รับมาอีกทีก็ไม่รู้อีก ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน
หนูแฮมสเตอร์พร้อมผสมพันธุ์เมื่อ
หนูแฮมสเตอร์พร้อมที่จะผสมพันธุ์กันเมื่อไร เพื่อนๆบางคนอาจจะอยากรู้นะครับ เพราะว่าต้องการที่จะเห็น ลูกเล็กๆ แดงๆ และ อยากที่จะเห็น ว่าเขาเลี้ยงลูก เขาอย่างไรเมื่อไรโต และ หน้าตาจะเป็นอย่าไรบ้าง
คำถามในหัวข้อนี่ก็ มีมาบ่อยเหมือนกันครับ ผมก็เลย ขอยกมาเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาครับ
หนูแฮมสเตอร์จะพร้อมผสมพันธุ์ เมื่อ เขาอายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง - 3 เดือนครับ ฟังดูเร็วๆ นะครับ เมื่อ เราเลี้ยงเขาแล้ว ก็อาจจะได้เห็นลูกเขา แน่ๆครับ ไม่ต้องห่วง นอกจาก ตัวทีเราซื้อมานั้น จะไม่ใช่ตัวผู้กับตัวเมีย
แฮมสเตอร์ สามารถท้องซ้อนได้หากไม่แยกตัวผู้ออกจากตัวเมียหลังจากมันออกลูก เพราะเมื่อตัวเมียออกลูกแล้ว ตัวผู้ก็ยังจะผสมพันธุ์อีก ทำให้ตัวเมียท้องซ้อนขณะที่ลูกที่เพิ่งออก ก็ยังไม่หย่านม เพราะฉะนั้นต้องแยกตัวผู้ออก และไม่ควรให้ตัวเมียท้องติดกันเพราะจะทำให้ร่างกายโทรมจนไม่สามารถมีลูกอีกได้ และกลายเป็นหนูพิการที่ขาใช้การไม่ได้อีกด้วย
ของเล่นหนูแฮมสเตอร์
ของเล่นหนูแฮมสเตอร์มีอะไรบ้าง จากหัวข้อที่มีคนถามมากัน ผม ก็เลยขอจัดทำหน้านี้มาอธิบายกันหน่อย หนูแฮมสเตอร์มี ของเล่นมากมาย แทบจะบรรยายไม่ถูก แต่ ละชนิดจะมีหลากหลายรูปแบบมาก เลยครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากสร้างกรงหนูแฮมส ให้มีของเล่น เยอะๆก็ควร นึกถึงเนื้อที่ในกรง กันหน่อยนะครับ
เพราะว่า กรงบางประเภท อาจจะวางได้แค่นิดเดียว หรือไม่ กรง บางประเภท เมื่อใส่ของเล่นลงไปแล้ว หนู นั้นสามารถปีนออกมานอกกรงได้ อันนี้ก็ ต้องระวัง กันหน่อยนะครับ * วงล้อที่วิ่ง
* ที่มุด / ท่อ
* ที่ปีนป่าย / ท่อ ต่อ
* เขาวงกต
* ลูกบอลออกกำลังกาย
* ไม้กระดก

การเลือกเสื้อผ้า

วิธีการเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับสีผิว



วิธีการเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับสีผิว
ผิวอมชมพู: สีผิวแบบนี้จะส่งผลให้เจ้าของผิวดูเปล่งปลั่ง และดูมีสุขภาพดีกว่าสีผิวอื่นๆ ฉะนั้นเสื้อผ้าที่เลือกใส่ควรเลือกเป็นโทนที่อ่อนๆ สดใสๆ อย่างสีฟ้าอมเขียว สีฟ้าอ่อน โกโก้ สีชมพูอ่อน สีส้ม เป็นต้น เพราะโทนสีเหล่านี้จะช่วยทำให้สีผิวของคุณดูเด่นกว่าคนอื่นๆ
ผิวขาวอมเหลือง: สาวที่มีผิวขาวมากนั้นถือว่าค่อนข้างโชคดี เหมือนสาวผิวอมชมพู เพราะสามารถเลือกโทนสีๆหนๆ มาส่วมใส่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเขียว สีฟ้า สีชมพู เป็นต้น
ผิวขาวซีด: สีผิวที่ขาวจนเกินไปจนแลดูเหมือนสุขภาพไม่แข็งแรงนัก ควรเลือกสีที่มีโทนค่อนข้างเข็ม หรือหม่นสักเล็กน้อยเพื่อขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย เช่น สีแดงเข้ม สีเหลืองอมน้ำตาล สีน้ำตาลไหม้ หรือสีเขียวเข้ม เป็นต้น
ผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง: สาวผิวสีนี้ค่อนข้างดูเซ็กซี่มีเสน่ห์อยู่ในตัว การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมจึงควร เลือกเสื้อผ้าที่มีสีค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ ที่ดูไม่ร้อนแรงหรือเย็นตาจนเกินไป เช่น สีน้ำตาลอมแดง สีเขียวอมฟ้า สีชมพูอมส้ม สีเลือดนก สีชมพูหม่น เป็นต้น
ผิวสีคล้ำ ดำ แทน: ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีโทนกลางๆ ไม่อ่อนจนเกินไปและไม่สดเกินไป หรือเลือกเฉดสีที่ค่อนข้างเข้มก็ดี เช่น สีกรมท่า สีน้ำตาลเข้ม สีฟ้า สีม่วง สีเทา สีเขียวเข้ม เพราะสีเสื้อโทนนี้สามารถทำให้ผิวของคุณ ดูกลมกลืนกับเสื้อผ้า และยังทำให้คุณดูขาวขึ้น กว่าการใส่เสื้อที่มีสีสันสดๆ ด้วยค่ะ

การทำเล็บอย่างง่าย


เป็นสาวเล็บสวยด้วยวิธีง่าย ๆ (Hairworld)Do it My Nail การที่จะมีเล็บสวยงามนั้นใช่เพียงแต่แต่งแต้มเติมสีเท่านั้นการรักษาความสะอาดและใส่ใจในรูปทรงของเล็บก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เราสามารถทำเองได้ที่บ้านโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งร้านแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเรียนรู้และศึกษาก็คือการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้องและเหมาะกับเล็บ ทั้งนี้เพื่อลดการเกิดปัญหาอันไม่พึงประสงค์ตามมา อุปกรณ์ทำเล็บที่หลายคนนึกถึงอย่างแรกก็คงหนีไม่พ้นอุปกรณ์ประเภทตัดที่เชื่อว่าทุกบ้านต้องมีอย่างแน่นอน ตัดอย่างแรกเลยก็คือ ตัดเล็บ โดยกรรไกรตัดเล็บนั้นมีสามชนิดเพื่อการใช้งาน ได้แก่ แบบคลิปเปอร์ ซึ่งเป็นแบบที่คุ้นเคยที่สุด ปากของกรรไกรประเภทนี้จะมีความโค้งไม่มากนัก ใช้สำหรับตัดแต่งความยาวของเล็บ แต่จะทิ้งความคมไว้จึงต้องตะใบซ้ำให้เนียน ชนิดที่สอง ได้แก่ แบบคีม กรรไกรประเภทนี้เหมาะกับเล็บที่มีความหนาและแข็ง มีลักษณะพิเศษคือปลายแหลมของคีมสามารถตัดเข้าซอกมุมได้อย่างง่ายดาย ส่วนอีกหนึ่งชนิดนั้นเป็นแบบกรรไกร ความโค้งของปลายกรรไกรจะไม่มากนักไม่สามารถตัดเล็บเนื้อแข็งได้ แต่เหมาะสำหรับตัดแต่งรูปทรงให้สวยงามโดยไม่ทิ้งเสี้ยนเล็บไว้ โดยกรรไกรสองประเภทหลังนี้สามารถลับคมได้เมื่อความคมหมดไป ส่วนตัดที่สอง ได้แก่ ตัดหนัง ที่แบ่งออกเป็นสองชนิด ได้แก่ แบบคีม สำหรับตัดหนังตามซอกเล็บ และแบบกรรไกรสำหรับเล็มหนังบริเวณขอบเล็บ ซึ่งการใช้งานของกรรไกรตัดหนังนั้นควรให้ปลายกรรไกรด้านโค้งหันออกจากหนังเสมอ หลังจากตัดเล็บแล้วก็ถึงขั้นตอนการตะไบเล็บ อุปกรณ์ตะไบเล็บก็มีให้เลือก 2 แบบด้วยกัน คือแบบโลหะที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งการใช้ตะไบประเภทนี้ควรตะไบไปในทิศทางเดียว อย่าตะไบกลับไปกลับมา ไม่อย่างนั้นเล็บจะเป็นเสี้ยนคม ส่วนอีกหนึ่งแบบคือ เชรามิค ตะไบชนิดนี้สามารถตะไบสวนทางได้โดยไม่เกิดปัญหาเสี้ยนคมแน่นอน แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากแตกหักง่ายและราคาค่อนข้างแพง และนอกจากนี้ยังมีตะไบชนิดที่เป็นแผ่นชัดเงาเล็บ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ 3IN1 คือขัดหยาบเพื่อให้ผิวหน้าเล็บเนียนเรียบ ปัดสิ่งปรก และขัดเล็บให้เงางามด้วยส่วนที่เคลือบเจลาติน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมแต่งเล็บที่อาจจะมีติดบ้านไว้ก็ได้ เผื่อเกิดนึกอยากจะแต่งเล็บให้ตัวเองชนิดที่เรียกว่าเล็บสวยด้วยมือเรา ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นได้แก่ Nail Cleaner ใช้สำหรับแคะสิ่งสกปรกออกจากใต้เล็บและซอกเล็บ มีลักษณะโค้งเป็นหลังเต่า ปลายแหลมแต่ไม่คม Nail Scraper มีลักษณะแบน ปลายมน ใช้สำหรับขูดหน้าเล็บเพื่อกำจัดขี้ไคลเล็บและช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพบนหน้าเล็บให้หลุดออก เหลือไว้แต่ความเนียนเรียบ Nail Knife มีดขนาดเล็กสำหรับตัดหนัง มี 2 แบบคือ แบบทั่วไปใช้สำหรับตัดหนังส่วนเกินที่ติดอยู่กับเนื้อเล็บ และแบบวีคว่ำ ใช้สำหรับขูดหนังข้างเล็บ โดยการใช้งานแบบวีคว่ำนั้นควรให้มุมของตัววีแนบไปกับขอบเล็บก่อนจะดันจากโคนเล็บออกมายังปลายเล็บ ห้ามทำสวนทางกันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดบากแผลได้ และสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือ การทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชิ้นหลังจากใช้งานแล้ว เพื่อมิให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค และเก็บอุปกรณ์ในที่ปลอดภัยหยิบง่าย ไม่ร่วงหล่นขณะหยิบใช้ และที่สำคัญต้องห่างไกลจากมือเด็ก เพียงแค่นี้ก็มีเล็บสวยสุขภาพดีอย่างปลอดภัยแล้ว

การทำเค้กอย่างง่าย



ความรู้เรื่องการทำเค้ก
เค้ก เป็นขนมชนิดหนึ่งมักจะทำจากส่วนผสมหลัก 4 อย่าง คือแป้ง น้ำตาล ไข่ และไขมัน มีลักษณะเนื้อละเอียดนุ่มรสชาติอร่อย นิยมใช้ในงานปีใหม่ วันเกิดเป็นต้น
ชนิดของเค้กโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ

1.เค้กที่มีส่วนผสมของไขมันเป็นหลัก เช่น เค้กเนย

2.เค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมเป็นหลัก เช่นเค้กถ้วย เค้กญี่ปุ่นที่ 1 และชนิดที่ที่ 2 ผสมกันเช่น ซิฟฟอนเค้กเทคนิคในการทำเค้กทั่วๆ ไป
เทคนิคการทำเค้กทั่วไป1.ควรร่อนแป้งทุกครั้งก่อนนำมาตวงเพื่อให้อากาศเข้าแทรกระหว่างเนื้อแป้งทำให้แป้งฟูและเบา ถ้าจะใช้วิธีชั่งก็ต้องร่อนก่อนชั่ง2.เนยหรือเนยเทียม ถ้าเป็นเนยสดจะตีหรือคนได้โดยง่ายต้องนำออกจากตู้เย็นก่อนนำมาใช้ แต่ไม่ควรนำไปตั้งไฟเพื่อเร่งให้อ่อนตัวเร็วขึ้นเพราะจะทำให้เนยสดละลายและเหลวเกินไปซึ่งไม่สามารถตีให้ขึ้นฟูได้ ถ้าเป็นเนยเทียมหรือมากกลิ่นไม่เก็บในตู้เย็น

3.ในกรณีที่ทำเค้กที่มีปริมาณน้ำตาลสูง มักนิยมตีแป้งกับเนยก่อนจึงเติมส่วนผสมอื่นๆ สำหรับน้ำตาลทรายควรละลายในส่วนผสมของ ของเหลวก่อนแล้วจึงเติมลงในส่วนผสมเพราะจะทำให้เปลือกขนมที่อบแล้วนุ่มขึ้น

4.การตีส่วนผสมเค้กชนิดที่มีไขมันเป็นหลัก ควรใช้พายยางปาดข้างอ่างผสมและที่ตีเสมอๆ เพื่อช่วยให้ส่วนผสมเข้ากับได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้ควรหยุดเครื่องตีก่อนจึงใช้พายปาดทุกครั้ง

5.การเติมไข่หรือส่วนผสมที่เป็นของเหลวควรค่อยๆ เติมลงไปทีละน้อยหรือแบ่งเติมไปทีละส่วน ไม่ควรใส่หมดในทีเดียว ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันแยกตัวออกจากส่วนผสม

6.ในการผสมเค้กในช่วงสุดท้าย มักจะเป็นการผสมนมหรือของเหลวอื่นสลับกับแป้งเป็นส่วนผสมสุดท้ายเพื่อป้องกันการแยกตัวของไขมัน ในส่วนผสมอื่นและเพื่อให้แป้งดูดซึมของเหลวบางส่วนไว้

7.ไข่ไก่ที่เหมาะในการทำขนมเค้กควรเป็นไข่ไก่สด และต้องไม่แช่ตู้เย็น

8.ในการทำเค้กชนิดที่มีส่วนผสมของไข่เป็นหลัก ควรร่อนแป้งลงในส่วนผสมอื่นๆ หรือใช้วิธีตะล่อมแป้งให้เข้ากันทีละน้อย เพราะจะทำให้แป้งค่อยๆ ดูดซึมของเหลวและไม่จับตัวเป็นก้อน ทำให้ผสมกันได้มากขึ้น

9.ในการตีไข่ขาวหรือไข่แดง สำหรับเค้กชนิดที่ต้องตีไข่ให้ขึ้นฟูควรตีด้วยความเร็วสูง จนไข่เริ่มตั้งยอดอ่อนๆ จึงเติมน้ำตาลลงทีละน้อยและเมื่อส่วนผสมของไข่ขาวและน้ำตาล เริ่มฟูเป็นฟองขึ้นจึงลดความเร็วลง ใช้ความเร็วปานกลางเพื่อให้ฟองอากาศยังคงอยู่ในส่วนผสม ข้อควรระวังการตีไข่ขาวนั้นอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่างได้แก่อ่างผสมที่ตี พายยางจะต้องสะอาดและแห้งสนิท ไม่เปื้อนไขมัน ไข่ขาวไม่ควรมีส่วนของไข่แดงปนอยู่แม้แต่น้อย

10.ในการอบเค้กทุกชนิด ควรจุดเตาอบให้อุณหภูมิของเตาอบได้ตามความต้องการ ถ้าอบขนมให้มีลักษณะดีเหลือง สม่ำเสมอผู้ทำต้องศึกษาการใช้เตาอบนั้นๆ จนเกิดความเคยชิน

11.การทดสอบว่าเค้กที่อบสุกหรือยังนั้น ทำได้โดย ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มตรงกลางขนมถ้าไม่มีเศษขนมติดไม้ออกมาแสดงว่าสุกและสังเกตุว่าขอบขนมร่อนออกจากพิมพ์โดยรอบ

12.การอบเค้กควรวางพิมพ์ให้อยู่กึ่งกลางเตาอบให้มากที่สุด หรือเมื่อต้องการอบอบพร้อมกันสองพิมพ์ หรือมากกว่านั้น ควรจัดวางพิมพ์ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ไม่ควรวางพิมพ์ชิดหรือติดผนังเตาอบถ้าอบทั้งสองชั้น ก็ควรวางสับหว่างกัน

13.ในการรองเค้ก ไม่ควรเปิดเตาอบขณะขนมกำลังขึ้น ถ้าจำเป็นจะต้องเปิดเตาอบดูขนบ ควรเปิดอย่างช้าๆ มิฉะนั้นขนมจะไม่ขึ้น และยุบได้ลักษณะของเค้กที่ดี

1.สีของผิวรอบนอกควรเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อนสม่ำเสมอ

2.สีของเนื้อใน เป็นไปตามส่วนผสมเช่นเค้กเนยก็เป็นสีเหลืองอ่อน เค้กช็อคโกแลตก็เป็นสีน้ำตาล

3.ลักษณะของ ของรอบนอก เรียบสม่ำเสมอกัน

4.การขึ้นฟูเป็นไปตาม ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตได้ น้ำหนักเบาเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของขนม

5.ลักษณะของหน้าขนม มัน เรียบ ไม่นูนเป็นแห่งๆ

6.กลิ่นหอม ชวนรับประทาน เป็นไปตามส่วนผสมที่ใส่แต่ต้องไม่มีกลิ่นหืน

7.ลักษณะของเนื้อในต้องละเอียด ไม่แน่น หนัก มีความชื้น ไม่ร่วนหรือแฉะ

8.มีความนุ่มนวล นิ่มเมื่อเอามือแตะเบาๆ จะสปริงหรือหยุ่นกลับที่เดิม เนื้อจะไม่แน่น

9.รสชาติกลมกล่อมเป็นไปตามส่วนผสมไม่ควรมีรสชาติผิดแผก แปลกออกไป เช่น รถเฝื่อนเป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เค้กเสียและวิธีการแก้ไขการทำเค้กที่ดีจะต้องอาศัยเทคนิคแล้วยังต้องมีประสบการณ์ สัดส่วนและสิ่งที่ทำอย่างถูกต้อง ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเสมอและวิธีแก้ไขดังนี้

1.เค้กหน้าไม่เรียบ ฟู และแตก วิธีแก้ไข ก็คือใช้ที่ปาด(สแปดตูส่ง)แตะน้ำมันพืชทาบนเนื้อขนมก่อนเข้าอบ

2.เค้กยุบตรงกลางเป็นเพราะอุณหภูมิในการอบไม่ถูกต้องใช้ไฟอ่อนหรือไฟแรงเกินไป ควรปรับอุณหภูมิให้ถูกต้อง หรืออาจใส่ผงฟูหรือน้ำตาลมากเกินไป เป็นเพราะเคลื่อนย้ายเค้ก หรือเปิดเตาอบขณะเค้กกำลังขึ้น

3.ผิวหน้าเค้กแฉะ เป็นเพราะอบไว้ไม่สุกดี วิธีแก้ไขควรอบให้สุก ตรวจสอบอุณหภูมิของเตาอบ

4.เค้กที่มีรูใหญ่ๆ เป็นเพราะส่วนผสมแห้งเกินไป ผสมกันไม่ทั่ว เทเค้กลงในพิมพ์ไม่ต่อเนื่อง วิธีแก้ไขควรผสมให้เข้ากันอย่างทั่วถึง เทเค้กลงพิมพ์ให้ต่อเนื่องกัน ไล่อากาศก่อนเข้า เตาอบโดยเคาะพิมพ์เบาๆ หรือใช้พายยางลากไปมาในเนื้อขนมก่อนนำเข้าเตาอบ

5.เนื้อเค้กแห้ง เป็นเพระตีไข่ขาวนานเกินไป หรืออบนานเกินไปวิธีแก้ไขควรตีไข่ขาวถึงจุดที่ต้องการเท่านั้นไม่ควรอบนานเกินไปตรวจสอบอุณหภูมิอย่างถูกต้อง

การแต่งหน้าอย่างง่าย



การแต่งหน้าอย่างง่าย

การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยสีสัน คุณสามารถแต่งหน้าได้มากหรือน้อยแค่ไหนก็ได้เท่าที่คุณพอใจ แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องแต่งให้เหมาะกับตัวคุณและเหมาะกับโอกาส.. การแต่งหน้า คือ วิธีที่จะทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น ดูมีเสน่ห์มากขึ้นผู้หญิงจึงควรรู้วิธีเพิ่มมุมมองให้น่าสนใจต่อผู้พบเห็นและเพศตรงข้ามมาดูวิธีเพิ่มเสน่ห์ของคุณด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวคุณเองกันเถอะค่ะ... เทคนิคการแต่งหน้า..ง่าย ๆ การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยสีสันคุณสามารถแต่งหน้าได้มากหรือน้อยแค่ไหนก็ได้เท่าที่คุณพอใจแต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องแต่งให้เหมาะกับตัวคุณ และเหมาะกับโอกาส.. การแต่งหน้า คือ วิธีที่จะทำให้ผู้หญิงสวยขึ้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นผู้หญิงจึงควรรู้วิธีเพิ่มมุมมองให้น่าสนใจต่อผู้พบเห็นและเพศตรงข้าม มาดูวิธีเพิ่มเสน่ห์ของคุณด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวคุณเองกันเถอะค่ะ...
1. เตรียมพร้อมก่อนการแต่งหน้า ในการแต่งหน้าให้ออกมาแล้วดูดี สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ควรมีกระจกขนาดใหญ่พอที่จะเห็นใบหน้าเราได้ทั้งหน้ามีแสงพอเพียง และมีอุปกรณ์ในการแต่งหน้าที่จำเป็น อาจใช้ที่คาดผมหรือรวบผมขึ้น ล้างหน้าให้สะอาดแล้วใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ก่อนการแต่งหน้าทุกครั้ง ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะเริ่มการแต่งหน้าแล้วล่ะค่ะ
2. ครีมรองพื้นปรับสีผิว ใช้ในกรณีที่คุณมีสีผิวที่ไม่เสมอกันเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งใบหน้าเพราะจะทำให้หน้าลอย สีของครีมรองพื้นปรับสีผิวจะมีให้เลือกหลายสีเช่น สีเขียวหรือสีเหลืองจะใช้บริเวณที่สีผิวมีความแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ เช่น จมูก หน้าผาก หรือแก้ม ส่วนสีม่วงหรือสีชมพู จะใช้เพื่อเพิ่มเลือดฝาดบริเวณแก้ม ส่วนมากจะใช้เวลาแต่งหน้าเจ้าสาว ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้สีใด ควรเกลี่ยทันที เพราะรองพื้นประเภทนี้จะแห้งเร็วมาก และใช้ก่อนลงรองพื้นประเภทอื่น ๆ ค่ะ
3. ครีมรองพื้นปกปิดริ้วรอย ช่วยพรางรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่าง ๆ บนใบหน้าได้ โดยเลือกสีให้เข้มกว่าสีผิว 1 ระดับ แตะบริเวณที่ต้องการปกปิดและใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้เนียน
4. ครีมรองพื้น เลือกสีครีมรองพื้นให้ตรงกับสีผิวบริเวณคอ ไม่ใช่เหมือนสีผิวบริเวณท้องแขน แตะครีมรองพื้นบริเวณที่ไม่มีริ้วรอยก่อนค่อย ๆ เกลี่ยไล่ไปให้ทั่ว ระวังอย่าให้มีขอบบริเวณกรอบหน้า โดยเกลี่ยรองพื้นให้หายเข้าไปในไรผมและควรเกลี่ยรองพื้นบริเวณริมฝีปากด้วย
5. แป้งฝุ่น / แป้งแข็ง ควรเลือกใช้แป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพราะจะไม่ทำให้สีของรองพื้นที่เลือกแล้วเปลี่ยนไป คือไม่ขาวขึ้นหรือคล้ำลงใช้พัฟ หรือ ใช้แปรงด้ามใหญ่สุด จุ่มแป้งฝุ่นหรือแป้งแข็ง เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า
6. ดินสอเขียนคิ้ว หลีกเลี่ยงดินสอเขียนคิ้วสีดำ เพราะจะทำให้หน้าดุ และดูสูงอายุ ควรใช้ดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาล จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าไม่ควรเริ่มเขียนคิ้วจากหัวคิ้ว จะทำให้คิ้วแข็งดูไม่ธรรมชาติเหมือนคิ้วถาวรโดยเริ่มเขียนห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 ซม. ไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว ไม่กดดินสอจนถึงผิวหนัง จากนั้นใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยตามแนวเดิม อาจแตะอายแชโดวสีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้ง เพื่อให้เส้นขนคิ้วดูนุ่มนวลขึ้น และฝุ่นของอายแชโดว์จะช่วยทำให้หางคิ้วไม่หายไปในระหว่างวัน จากนั้นใช้แปรงเขียนคิ้วเท่าที่มีสีติดอยู่ ไม่ต้องจุ่มสีใหม่ เกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้วให้เบลอหายมาทางสันจมูก ความยาวของคิ้ววัดโดยใช้พู่กัน ทาบจากปลายจมูก มาทางหางตา จบตรงไหนหางคิ้วควรจะจบตรงนั้นจะเป็นสัดส่วนคิ้วที่สวยงามค่ะ
7. อายแชโดว์ ก่อนทาอายแชโดว์ ควรแตะแป้งฝุ่น บริเวณใต้ตา เพื่อป้องกันอายแชโดว์สีเข้ม ตกลงมาเลอะ เริ่มใช้อายแชโดว์สีอ่อน เช่น สีครีม สีชมพูอ่อน ทาให้ทั่วเปลือกตา - ถ้าในวันนั้นใส่เสื้อผ้าสีโทนร้อน เช่น สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ก็เลือกใช้อายแชโดว์สีส้ม เกลี่ยจากแนวหางตาเข้ามาทางหัวตา เว้นแนวโหนกคิ้วไว้ แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตาทำเช่นเดียวกันกับขอบตาล่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ของสีสันค่ะ - แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็น เช่น สีชมพู สีฟ้า สีม่วง ก็เลือกใช้อายแชโดว์สีชมพู หรือสีม่วง เกลี่ยจากแนวหางตาเข้ามาทางหัวตา เว้นแนวโหนกคิ้วไว้เช่นเดียวกัน แล้วใช้อายแชโดว์สีเทา หรือสีน้ำเงิน เกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตา และทำเช่นเดียวกันกับขอบตาล่าง เช่นเดียวกันค่ะ

8. ดินสอเขียนขอบตา นิยมใช้ในการแต่งหน้างานกลางคืน หรือในโอกาสพิเศษ เพื่อเน้นดวงตาให้คมขึ้น หลังจากใช้ดินสอเขียนขอบตาแล้ว ควรใช้พู่กันปลายฟองน้ำเกลี่ยทับอีกครั้งเพื่อลดความแข็งของเส้นดินสอ และอาจใช้แปรงแตะอายแชโดว์สีใกล้เคียงกัน ทาทับอีกครั้ง เพื่อความเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
9. มาสคาร่า ควรดัดขนตาก่อนปัดมาสคาร่าทุกครั้ง ควรปัดมาสคาร่าทั้งขนตาบนและขนตาล่าง เลือกใช้มาสคาร่าชนิดที่ป้องกันการเลอะเทอะ (smudgeproof) เพื่อป้องกันมาสคาร่าเลอะใต้ตาในระหว่างวัน โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนผิวมันค่ะ
10. บลัชออน ใช้แปรงปัดแก้ม ปัดบลัชออนบริเวณโหนกแก้ม ให้หายไปทางไรผม โดยเลือกสีบลัชออนให้เข้ากับสีของอายแชโดว์ที่ใช้ในวันนั้น คือ โทนร้อน เลือกใช้สีบลัชออน สีส้ม สีน้ำตาล ส่วนโทนเย็น ใช้สีชมพู ค่ะ
11. ดินสอเขียนขอบปาก ใช้เพื่อสร้างกรอบ ทำให้ลิปสติกไม่เลอะออกมานอกริมฝีปากเวลาทานของร้อน ๆ และใช้แก้ไขรูปปากให้ได้รูปมากขึ้น โดยเลือกสีให้เข้ากับสีสันของอายแชโดว์และบลัชออนเช่นกันค่ะ
12. ลิปสติก ควรใช้พู่กันป้ายสีจากลิปสติกแล้วทาลงบนริมฝีปาก จะทำให้ลิปสติกไม่เป็นคราบ และประหยัดลิปสติกมากกว่าค่ะโดยเลือกสีลิปสติกให้ใกล้เคียงกับสีของดินสอเขียนขอบปาก
คำแนะนำเพิ่มเติม - ไม่ควรให้ใครยืมอุปกรณ์การแต่งหน้า เพราะคุณสามารถติดโรคตา หรือโรคหวัดได้ - การเลือกสีครีมรองพื้น ควรทดสอบในขณะที่ไม่ได้แต่งหน้า โดยเกลี่ยรองพื้นบริเวณแนวขากรรไกรให้ได้สีที่เหมือนกับสีผิวบริเวณคอ - เครื่องสำอางประเภทดินสอทุกชนิด ควรเหลาให้แหลมก่อนใช้ทุกครั้ง - รักษาความสะอาดของพัฟพ์ และแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ โดยล้างทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

กาทำผมอย่างง่าย

หากพูดถึงงานปาร์ตี้ สาว ๆ หลายคนมักจะมองว่าต้องใช้เวลากับการทำผมให้มากหน่อย แต่หารู้ไม่ว่า การเป็นสาวพราวเสน่ห์ไม่จำเป็นต้องมาจากทรงผมที่แสนเนี๊ยบหรอกน่า แค่ทำผมให้เป็นธรรมชาติบวกกับการใส่ลูกเล่นลงไปหน่อยก็ทำให้คุณดูมีเสน่ห์ได้ไม่แพ้กัน เผลอ ๆ จะยิ่งทำให้คุณดูสวยใสแบบธรรมชาติให้มาอีกด้วยแน่ะ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยว่า ทรงผมง่าย ๆ ที่ทำได้ในเวลาแค่ 5 นาทีนั้น มีอะไรบ้าง
1. เกล้าผมขึ้นอย่างง่าย ๆ ถึงมันจะดูธรรมดาเหมือนไปเดินเล่น แต่มันก็ชิคมากนะคะคุณ ๆ ลองรวบผมแล้วเกล้าขึ้นโดยไม่ต้องม้วนเก็บมันให้เป็นระเบียบ แต่ปล่อยให้ปลายผมทิ้งตัวลงมาข้างหูบ้าง หรืออาจปล่อยมันลงมาปิดหน้าเล็กน้อย แล้วทำให้มันอยู่ตัวด้วยเสปรย์อย่างอ่อน ๆ โดยซ่อนกิ๊บ หรือส่วนที่รัดยางเอาไว้ เก๋ไก๋เป็นที่สุดเลยทีเดียวล่ะ
2. ปัดผมทั้งหมดมาข้างใดข้างหนึ่ง แล้วถักเปียแบบหลวม ๆ ให้ผมเปียอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเผยให้เห็นไรผมและใบหู ดูง่าย ๆ แต่เซ็กซี่อย่าบอกใครเลยค่ะสาว ๆ
3. ดัดผมพอให้เป็นคลื่น หรือหากใบหน้ารับกับผมดัดเป็นลอน ก็ดัดผมลอนหลวม ๆ พอให้ดูเซ็กซี่ แต่ต้องเน้นความเป็นธรรมชาตินะคะ และอย่าลืม ใช้สเปรย์ฉีดให้ผมอยู่ตัวหน่อยนึงก่อนออกจากบ้านค่ะ
4. เกล้าผมหรือรวบผม แล้วตกแต่งด้วยเอสเซสซอรี่เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นกิ๊บแต่งผมเก๋ ๆ ที่คาดผม เหมือนเป็นการแต่งตัวให้ผมของคุณให้ผมของคุณดูโดดเด่น อ๊ะ ๆ แต่ต้องเข้ากับชุดของคุณด้วยนะเออ

การร้องเพลง

เทคนิคการร้องเพลงง่ายๆ สำหรับทุกคนครับ ครูกบ-เสาวนิตย์ แนะเคล็ดลับการร้องเพลง (Voice Tips)
1: เคล็ดลับการดูแลเส้นเสียงให้แข็งแรง !!!ต้องฝึกการใช้เส้นเสียงที่เหมาะสมกับปริมาณลมอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับการออกกำลังกายทีละนิด ทีละหน่อย จนกว่าร่างกายคุ้นเคย ฝึกวิธีการใช้เสียงตั้งแต่ตอนพูด ใช้ความกังวานของเสียงช่วยเพิ่มความดังแทนการตะโกน ตะเบ็ง / ไม่พูดเสียงสูง-ต่ำเกินความเป็นจริงของธรรมชาติเสียงตัวเอง (ระดับเสียงที่พูดแล้วสบาย คือธรรมชาติ) หรือไม่พูดเสียงที่เป็นลมจนเกินไปออกกำลังกาย (กีฬาทุกประเภทใช้ได้ทั้งหมด ขอให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย) เพื่อช่วยเพิ่มพลังและผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ร่างกายโดยรวม และเพื่อช่วยความแข็งแรงให้ระบบหายใจนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (สังเกตตัวเองด้วยว่าต้องการกี่ชั่วโมงเพราะร่างกายแต่ละคนต้องการแตกต่างกัน)ทานอาหารให้ครบหมู่ / ดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือเกินต่อความต้องการของร่างกายเสมอ หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกออล์ทั้งหลาย / หากเกิดอาการดื่มน้ำน้อยไป หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน-แอลกออล์มากเกินไป เส้นเสียงก็จะพลอยแห้ง อ่อนแอไปด้วย / ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด / การดื่มน้ำเย็นไม่ได้มีผลต่อการใช้เสียงมากจนเกินควร หากไม่ป่วยหรือ มีน้ำมูก / แต่น้ำอุ่น-ร้อนเกิน จะทำให้คอรู้สึกแห้งผาก ไม่ดี โดยเฉพาะก่อนใช้เสียงไม่เสพสารเสพติด เช่นบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้เส้นเสียงอ่อนแอ เวลาใช้งาน จะเหนื่อย ต้องออกแรงมากกว่าปรกติหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายคอ หรือหายใจลำบาก เช่น มีความชื้นมากเกินไป ฝุ่นมากไป
2: เคล็ดลับการควบคุมปริมาณลมที่พอดีกับการใช้เส้นเสียง !!!วิธีที่ทำให้สามารถสัมผัสได้ มากกว่าการได้ยินเสียงคือ ใช้นิ้ว หรือ ฝ่ามือ มารองเสียงที่เราเปล่งออกมาจากปาก พยามยามอย่าให้มีลมปนออกมากับเสียงมาก เพราะ หากเสียงร้องมีลมออกมากพร้อมกัน แสดงว่าเส้นเสียงไม่ปิดเข้าหากัน หรือมีการใช้ลมมากเกินไป (คือปริมาณลมไม่พอดีกับการปิดของเส้นเสียง ทำใช้เส้นเสียงได้ไม่เต็มที่ เกิดข้อจำกัดในการใช้เสียง โดยเฉพาะการร้องเพลง)
3: เลือกครูสอนใช้เสียง-ร้องเพลงอย่างไร ???ดูความต้องการของตนเองก่อนว่าอยากจะรู้เรื่องอะไร ต้องการความช่วยเหลือด้านไหน ดูว่าครูมีความรู้ และประสบการณ์ในการสอนเรื่องเหล่านั้นจริงหรือไม่ดูเนื้อหาการสอน และวิธีการสอนของครูที่สอนอยู่ ว่าตอบโจทก์ที่เราต้องการไหม เป็นวิธีที่เราสามารถเรียนได้หรือไม่หากไม่เคยมีประสบการณ์การเรียนใช้เสียง-ร้องเพลงมาก่อน ผู้เรียนควรจะได้คุยถึงวิธีทางการสอนของครู และเนื้อหาที่ตนเองอยากเรียนกับครูผู้สอนโดยตรงก่อนเริ่มเรียน

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

วันสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่มีเหตุการณ์ที่สำคัญ อันเนื่องด้วยพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เหตุการณ์ที่สำคัญดังกล่าว เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า คือบริษัทสี่อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ให้น้อมรำลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยในหลักที่สำคัญ เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจรรโลงให้พระพุทธศาสนา ดำรงคงอยู่สถิตสถาพร เป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่สัตว์โลกทั้งปวง ซึ่งมิใช่จำกัดอยู่เพียงมนุษยชาติเท่านั้น
วันสำคัญในพระพุทธศาสนา ตามลำดับความสำคัญ และตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้นคือ วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และออกพรรษา

วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ) เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ในห้วงระยะเวลาที่ต่างกันคือ
ครั้งแรก เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธธนะ และ พระนาง สิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ โดยประสูติที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตแดนรอยต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ของฝ่ายพระราชบิดา กับกรุงเทวทหะของฝ่ายพระราชมารดา
ครั้งที่สอง เกิดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถ ออกทรงผนวชได้ 6 ปี พระชนมายุ 35 พรรษา ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประเทศมคธ ปัจจุบันคือที่ตั้งพุทธคยา
ครั้งที่สาม เกิดเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ณ เมืองกุสินาราย
เหตุการณ์สำคัญทั้งสามประการนี้ เกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน ทางจันทรคติ ซึ่งนับวันขึ้นแรม ตามวิถีการโคจรของดวงจันทร์ เป็นหลักในการกำหนดวัน เดือน และปีซึ่งยังคงใช้กันมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ควบคู่กันไปกับการกำหนดวัน เดือน และปีทางสุริยคติ ซึ่งเป็นไปตามวิถีการโคจรของดวงอาทิตย์ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งยังไม่เคยมีการประจวบกันเช่นนี้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดมาก่อนจนตราบเท่าปัจจุบัน
แต่ความอัศจรรย์ดังกล่าว ก็ยังไม่เทียบเท่ากับการอุบัติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก และได้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเพื่ออนุเคราะห์โลกให้เกิดประโยชน์สุขแก่มนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งมวล
วันวิสาขบูชาจึงนับว่าเป็นวันสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ก่อให้เกิดพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้พระธรรมและนำมาสั่งสอนแก่สรรพสัตว์ และพระสงฆ์สาวกผู้สืบพระศาสนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุอันได้แก่ พระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฏิมา ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องบูชามีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนตร์ตามลำดับดังนี้คือ
บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ ด้วยบท " อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ...พุทโธภควาต ิ"
บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ ด้วยบท " สวากขาโต ภควตาธัมโม...วิญญูหิต ิ"
บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ ด้วยบท " สุปฏิปันโน ภควโตสาวกสังโฆ...โลกัสสาติ "
จากนั้นก็จะกระทำ ประทักษิณ หรือที่เรียกว่า เวียนเทียน รอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่สองจะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่สามสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ 3 รอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชาอันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียน
จากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง
วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชน ได้บำเพ็ญประโยชน์ตน และสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงอยู่อย่างถูกต้องตรงทาง เพื่อประโยชน์สุขของตนและของผู้อื่นตลอดชั่วกาลนาน